ข้อควรระวังขับรถน้ำท่วมขัง รถมือสองต้องระวังอะไรบ้าง?
ข้อควรระวังขับรถน้ำท่วมขัง รถมือสองต้องระวังอะไรบ้าง?
การขับรถท่ามกลางน้ำท่วมขังหรือเส้นทางที่มีน้ำเจิ่งนองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศแปรปรวน และหากคุณเป็นเจ้าของรถมือสอง ยิ่งต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะการขับรถผ่านน้ำท่วมอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับรถยนต์ได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า เบรก และระบบอื่นๆ ของรถ ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า “ข้อควรระวังขับรถน้ำท่วมขัง” มีอะไรบ้าง พร้อมคำแนะนำเพื่อป้องกันและดูแลรถมือสองของคุณให้ปลอดภัยเมื่อขับขี่ในสภาพถนนที่เปียกแฉะ
1. ประเมินสถานการณ์ก่อนขับขี่
เมื่อเจอเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง สิ่งแรกที่ควรทำคือประเมินความลึกของน้ำ หากน้ำมีความลึกเกินครึ่งหนึ่งของความสูงของล้อรถ หรือประมาณ 15 เซนติเมตรขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงการขับรถผ่านเส้นทางนั้นเพราะจะทำให้มีโอกาสสูงที่จะทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หากเป็นรถมือสองควรยิ่งเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากการทำงานของระบบต่างๆ ในรถมือสองอาจไม่แข็งแรงเท่ากับรถใหม่
2. ขับรถอย่างระมัดระวังและช้าๆ
หากตัดสินใจที่จะขับผ่านน้ำท่วม ให้คุณขับด้วยความเร็วต่ำ ควรตั้งอยู่ที่ประมาณ 5-10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซัดเข้าห้องเครื่องหรือปลั๊กไฟต่างๆ การขับด้วยความเร็วต่ำยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมรถได้ดีมากขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงที่น้ำจะเข้าไปในระบบการทำงานของรถ
3. ระวังระบบท่อไอเสีย
สำหรับรถที่มีท่อไอเสียอยู่ต่ำ การขับผ่านน้ำท่วมขังอาจทำให้น้ำเข้าไปในท่อไอเสียได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเครื่องยนต์ แนะนำให้คุณคอยตรวจสอบระดับน้ำและพยายามไม่ขับเข้าไปในน้ำที่มีความลึกสูง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณควรเร่งเครื่องยนต์ในระดับรอบต่อนาที (RPM) ที่เหมาะสมเพื่อให้ท่อไอเสียสามารถระบายควันออกได้โดยไม่มีน้ำเข้ามา
4. หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องกระทันหัน
เมื่อขับรถในน้ำท่วมขัง การเร่งเครื่องอย่างกระทันหันอาจทำให้น้ำกระเซ็นเข้าไปในห้องเครื่องยนต์ ระบบไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งท่อไอเสียของรถมือสองได้ ดังนั้นควรขับรถอย่างสม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนเกียร์บ่อย และรักษาความเร็วให้คงที่
5. ตรวจสอบระบบเบรกทันทีเมื่อออกจากน้ำ
หลังจากที่คุณขับผ่านน้ำท่วมขัง ควรตรวจสอบระบบเบรกทันที การเบรกอาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเพราะมีน้ำเข้าไปในส่วนของระบบเบรก คุณสามารถทำได้โดยการขับรถช้าๆ และกดเบรกหลายๆ ครั้ง เพื่อช่วยให้น้ำที่อาจจะเข้าไปในระบบเบรกได้ถูกดันออกมาและทำให้เบรกกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
6. ตรวจเช็คเครื่องยนต์หลังการขับขี่ในน้ำท่วม
หากคุณจำเป็นต้องขับรถผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง ควรนำรถไปตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์หลังจากการขับขี่ทันที โดยเฉพาะสำหรับรถมือสอง เพราะการขับรถในสภาพถนนที่มีน้ำท่วมอาจทำให้เกิดความเสียหายในส่วนต่างๆ ของรถได้ ซึ่งหากตรวจเจอปัญหาในทันทีจะช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลามและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้
7. ป้องกันไม่ให้น้ำเข้าเครื่องยนต์ (Hydrolock)
การที่น้ำเข้าไปในระบบไอดีของเครื่องยนต์สามารถทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “Hydrolock” หรือ “การล็อกของเครื่องยนต์ด้วยน้ำ” ได้ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับลูกสูบ แหวนลูกสูบ และก้านสูบในเครื่องยนต์ได้ โดยเฉพาะในรถมือสองที่เครื่องยนต์อาจมีความเสื่อมสภาพแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการขับผ่านน้ำท่วมที่มีความลึกสูงและตรวจเช็คสภาพของระบบกรองอากาศและระบบไอดีอยู่เสมอ
8. ระวังระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
ระบบไฟฟ้าในรถยนต์มีความอ่อนไหวต่อการถูกน้ำ และรถมือสองที่มีอายุการใช้งานมายาวนานมักจะมีการเสื่อมสภาพของระบบไฟฟ้า การขับรถผ่านน้ำท่วมขังอาจทำให้เกิดการลัดวงจรหรือทำให้ระบบไฟฟ้าทำงานผิดปกติ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขับรถในน้ำท่วมเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกิดปัญหาด้านระบบไฟฟ้า
9. เตรียมพร้อมก่อนขับขี่
ก่อนการเดินทางในช่วงที่ฝนตกหนักหรือในพื้นที่ที่มีโอกาสน้ำท่วมขัง ควรตรวจเช็คสภาพของรถมือสองให้พร้อมใช้งาน รวมถึงยางรถยนต์ ระบบเบรก ระบบไฟฟ้า และระบบอื่นๆ เพื่อให้แน่ใจว่ารถของคุณพร้อมที่จะเผชิญกับสภาพถนนที่ไม่ปกติ และหากพบว่ารถของคุณมีสภาพที่ไม่พร้อมใช้งานควรนำไปซ่อมบำรุงก่อนการเดินทาง
10. วางแผนการเดินทางและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย
ก่อนการเดินทางควรตรวจสอบสภาพอากาศและเส้นทางที่ต้องขับขี่ หากพบว่ามีเส้นทางที่มีน้ำท่วมขัง ควรวางแผนหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยกว่า นอกจากนี้ควรเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น สายพ่วงแบตเตอรี่ ไฟฉาย และเครื่องมือซ่อมรถเบื้องต้นไว้ในรถ เผื่อในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการเดินทาง