คู่มือภาษี ประกัน และค่าโอนรถยนต์มือสอง
คู่มือภาษี ประกัน และค่าโอนรถมือสอง
การซื้อขายรถยนต์มือสองยังคงได้รับความนิยมเนื่องจากราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีตัวเลือกหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ หรือแม้กระทั่งรถ SUV ขนาดกลางที่เหมาะกับครอบครัว ที่ค่าครองชีพยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเลือกซื้อรถมือสองจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและประหยัดได้มากกว่าการซื้อรถใหม่ป้ายแดง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อหรือขายรถมือสอง มีสิ่งสำคัญหลายประการที่คุณควรรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของ “ภาษี ประกัน และค่าโอน” ซึ่งเป็นหัวใจของกระบวนการที่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น การค้างชำระภาษี การไม่มีประกันภัย หรือการโอนกรรมสิทธิ์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่อาจส่งผลต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
คู่มือนี้จึงถูกรวบรวมขึ้นเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเข้าใจง่าย ช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถวางแผนและดำเนินการซื้อขายรถมือสองได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงต่าง ๆ ในตลาดรถมือสองที่ยังมีอยู่ในบางพื้นที่
ภาษีรถยนต์ (ภาษีรายปี)
เมื่อคุณซื้อรถมือสอง คุณจะต้องรับผิดชอบภาษีรายปีของรถคันนั้น โดยสามารถตรวจสอบสถานะการเสียภาษีได้จากเล่มทะเบียนรถ ซึ่งจะระบุวันที่ครบกำหนดเสียภาษีอย่างชัดเจน
- รถยนต์ทั่วไป: เสียภาษีตามอัตราที่คำนวณจากปริมาตรกระบอกสูบ (ซีซี) ของรถยนต์ ยิ่งรถซีซีสูง อัตราภาษีก็จะสูงขึ้น
- รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี: ต้องนำรถไปตรวจสภาพที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) หรือกรมการขนส่งก่อนจึงจะสามารถต่อภาษีได้
เคล็ดลับ: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ารถที่คุณกำลังจะซื้อไม่ได้ค้างชำระภาษีรายปี หรือไม่มีประวัติถูกระงับทะเบียน เพราะจะทำให้คุณต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ประกันภัยรถยนต์ (ภาคบังคับและภาคสมัครใจ)
เมื่อคุณทำการโอนกรรมสิทธิ์รถมือสอง ผู้ซื้อจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นของตนเอง หรือในกรณีที่รถไม่มีประกันภัย คุณสามารถทำประกันภัยใหม่ทันทีได้
- ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.): จำเป็นต้องมีทุกคัน โดยจะคุ้มครองผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอก
- ประกันภัยภาคสมัครใจ (ชั้น 1, 2+, 3+): เป็นทางเลือกเพิ่มเติมที่ช่วยคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถและทรัพย์สินของผู้อื่น เลือกตามงบประมาณและลักษณะการใช้งานของผู้ซื้อ
เคล็ดลับ: รถบางคันยังมีประกันภัยภาคสมัครใจคงเหลือ ผู้ซื้อสามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอโอนชื่อกรมธรรม์เป็นของตนเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
ค่าโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์
กระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ต้องดำเนินการที่กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งที่เกี่ยวข้อง โดยมีขั้นตอนและค่าใช้จ่ายดังนี้:
- ค่าโอนกรรมสิทธิ์: 100 บาท
- ค่าตรวจสภาพรถ (ถ้าต้องตรวจ): ประมาณ 200 – 300 บาท
- ค่าอากรแสตมป์: ประมาณ 0.5% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย (แล้วแต่อันใดสูงกว่า)
- ค่าคำขอโอนรถ: 5 บาท
เอกสารที่ต้องใช้:
- เล่มทะเบียนตัวจริง
- สำเนาบัตรประชาชนของผู้ซื้อและผู้ขาย (หากมอบอำนาจต้องมีหนังสือมอบอำนาจพร้อมพยาน)
- แบบฟอร์มคำขอโอนรถ (สามารถกรอกที่สำนักงานขนส่ง)
- หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ ระบุราคา วันเวลา และเงื่อนไขการชำระเงิน
หมายเหตุ: ผู้ซื้อควรไปดำเนินการพร้อมกับผู้ขายที่สำนักงานขนส่ง เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบเอกสาร และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายภายหลัง
ข้อควรระวังและคำแนะนำในการซื้อขายรถมือสอง
- ตรวจสอบประวัติรถยนต์จากเว็บไซต์กรมขนส่ง หรือใช้บริการตรวจสอบประวัติรถจากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้
- หลีกเลี่ยงการซื้อขายแบบไม่มีสัญญา เพราะจะไม่มีหลักฐานทางกฎหมายหากเกิดข้อขัดแย้ง
- ควรตรวจสอบเลขตัวถัง เลขเครื่องยนต์ และทะเบียนรถให้ตรงกันกับในเล่มทะเบียน
- หากซื้อจากบุคคลทั่วไป ให้พาผู้เชี่ยวชาญหรือนำรถเข้าตรวจสภาพก่อนตัดสินใจ
- สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริม ประวัติการซ่อมบำรุง และการเปลี่ยนอะไหล่ต่าง