อนาคต ตลาดซื้อขายรถมือสอง กลุ่มรถอีวี (EV รถไฟฟ้า)
แม้ในปัจจุบัน จำนวนของรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่ออกมาวิ่งตามถนนในบ้านเรานั้นจะยังมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น หากถามถึงจำนวนรถที่กลายเป็นรถมือสองด้วยแล้วล่ะก็ คำตอบก็คือ “แทบจะไม่มี” !!
แต่อย่างที่เรารู้กัน อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน เช่นเดียวกันกับการจะได้เห็นรถไฟฟ้าวิ่งเต็มท้องถนนในวันข้างหน้า ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้
และเมื่อเวลานั้นมาถึง คุณอาจจะเข้า Google พร้อมใส่ข้อความอย่าง “รถไฟฟ้ามือสองดีไหม??” หรือ “ราคารถไฟฟ้ามือสอง” ลงไปในช่องค้นหาก็เป็นได้
ดังนั้นจะดีกว่าไหม?? หากคุณรู้เอาไว้ก่อนว่า การเป็นเจ้าของ “รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง” มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และมันดีพอจะเป็นตัวเลือกแทนรถมือสองแบบทั่วไปได้หรือไม่??
ความคุ้มค่าคือปัจจัยหลัก
เนื่องด้วยว่ารถเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ทำให้หลายคนต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของ
ความคุ้มค่าคือปัจจัยหนึ่งที่หลายคนใช้พิจารณา สำหรับรถยนต์ทั่วไปปัจจัยที่ว่านี้อาจหมายถึง การซ่อมบำรุง, การสึกหรอของอะไหล่ต่างๆ, อัตราสิ้นเปลือง รวมไปถึงราคาขายต่อด้วย
แต่เมื่อกลับกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ไล่ตั้งแต่เรื่องของอะไหล่, ระบบขับเคลื่อน รวมทั้งยังมีเรื่องการเสื่อมของแบตเตอรี่เข้ามาเกียวข้องอีก
ค่าบำรุงรักษาที่แสนถูก
เนื่องจากทำงานของมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้ามีความร้อนน้อยกว่าการเผาไหม้ในห้องเครื่อง ทำให้อุปกรณ์ต่างๆเสื่อมสภาพช้าลงมาก มีการประเมิณอายุการใช้งานเอาไว้มอเตอร์ไว้ที่ประมาณ 10 ปีด้วยกัน ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน
ดังนั้นหากรถไฟฟ้าที่คุณกำลังเล็งอยู่มีอายุไม่มากจนเกินไปล่ะก็ เรื่องมอเตอร์ก็ไม่ใช่ปัญหา
ต่อมาคือแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้ามักจะมาพร้อมกับแพ็คเกจการรับประกันแบตแบตเตอรี่ หรือระบบไฟฟ้าด้วย
ยกตัวอย่างเช่น Nissan Leaf ที่ขายในบ้านเรา ก็มีระยะเวลาการรับประกันแบตเตอรี่อยู่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ส่วนระบบไฟฟ้าก็รับประกันให้ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
หรือ MG ZS EV ก็รับประกันแบตเตอรี่ให้นานถึง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
ผลการสำรวจจาก Bloomberg NEF พบว่าระหว่างปี 2010-2018 ราคาของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าลดลงมากถึง 85% ด้วยกัน
จากราคา 1,160 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh (ประมาณ 35,000 บาท) ในปี 2010
ลดเหลือเพียง 176 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh (ประมาณ 5,400 บาท) ในปี 2018
ซึ่งหากยังคงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หลายคนกังวลก็คงจะหมดไป กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากในอนาคต
ค่าเชื้อเพลิง
เมื่อลองเปรียบเทียบกันระหว่าง
– รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 150 แรงม้า อัตราสิ้นเปลืองประมาณ 5.34 กิโลเมตร/ kWh. กับ
– รถทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี. ที่อัตราสิ้นเปลือง 15 กิโลเมตร/ลิตร
พบว่า
ค่าเชื้อเพลิงของรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะอยู่ที่ 0.5 บาท/กิโลเมตร ในขณะที่รถยนต์ทั่วไปจะอยู่ที่ 1.66 บาท/กิโลเมตร
ซึ่งในระยะ 5 ปี รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยเราประหยัดค่าเชื้อเพลิงไปได้ถึง 174,000 บาทด้วยกัน!!
สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
รถถูกก็จริง แต่ระยะทางอาจไม่ตอบโจทย์
แม้ราคาที่ถูกลงอย่างมากจะล่อตาล่อใจเราไม่น้อย แต่คุณอาจจะต้องแลกมาด้วยระยะในการเดินทางที่สั้น เพราะลองดูรถที่เรายกตัวอย่างเมื่อสักครู่ BMW i3 2014 ทำระยะทางสูงสุดได้ประมาณ 130 กิโลเมตรเท่านั้น
ซึ่ง Nissan Leaf ในเจเนอร์เรชั่นแรก ก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
และนอกจากนี้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แค่ไม่กี่ปีก็อาจจะทำให้รถของคุณตกรุ่นไปไกลแล้วก็เป็นได้
ราคาอาจจะไม่ได้ลดลงมาอีกต่อไป
ตัวอย่างของ Nissan Leaf ในเจเนอร์เรชั่นแรก และ BMW i3 2014 อาจกำลังบอกเราว่ารถไฟฟ้าในเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไหร่
แต่หากในอนาคตเมื่อปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้รถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรามีการใช้อย่างแพร่หลาย เช่น มีสถานีชาร์จที่รองรับมากขึ้น สามารถเดินทางได้ระยะทางไกลขึ้น หรือค่าแบตเตอรี่ที่หลายๆ คนกลัวมีราคาถูกลง
เมื่อถึงตอนที่ความต้องการซื้อมากขึ้น ราคาของมันอาจจะไม่ตกลงมามากอย่างเหมือนที่ต่างประเทศก็เป็นได้
อนาคต ตลาดซื้อขายรถมือสอง กลุ่มรถอีวี (EV รถไฟฟ้า) BY jobusedcar